ผลิตภัณฑ์หัตถอุตสาหกรรมจากไหมอีรี่ของเกษตรกรเครือข่ายผู้เลี้ยงไหมอีรี่ในจังหวัดต่างๆ
วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555
ไหมอีรี่
ศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการด้านไหม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
ร่วมจัดแสดง ไหมอีรี่ ในงาน มหกรรมงานวิชาการ สกว. ประจำปี 2555
ณ เมืองทองธานี
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
นอกจากไหมหม่อนแล้วยังมีไหมป่า
ไหมเป็นเส้นใยธรรมชาติ
ผลิตจากรังที่ห่อหุ้มดักแด้ของหนอนไหม เส้นใยไหมมีความมันแวววาว
โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนเส้นใยธรรมชาติชนิดอื่น
ชาวจีนรู้จักเลี้ยงไหมมานานกว่า 4000 ปีแล้ว เพื่อเอาเส้นใยมาทำเครื่องนุ่งห่ม
โดยถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่าของแผ่นดิน สำหรับประเทศไทยมีการเลี้ยงไหมและทอผ้าใช้กันเองในครอบครัวมานานหลายร้อยปี
แต่การพัฒนาในระดับอุตสาหกรรมเริ่มเกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5 นอกจากประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชียแล้ว ชาวยุโรปก็รู้จักการเลี้ยงไหมมานานแล้วเช่นกัน
และในเวลานั้นไหมถือเป็นผ้าพิเศษที่ทอขึ้นมาเพื่อใช้เฉพาะพระมหากษัตริย์
พระราชินีและขุนนางชั้นสูงเท่านั้น ผ้าไหมเป็นสิ่งที่แสดงถึงศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ ที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษถึงลูกหลานที่แต่ละชาติมีความภาคภูมิใจ
ผ้าไหมไทย จีน อินเดีย ญี่ปุ่นและประเทศทางยุโรป
จะมีความแตกต่างกันทั้งเนื้อผ้า ลวดลายปักบนผ้าและศิลปะการถักทอ
ซึ่งทำให้ได้ผ้าที่มีคุณลักษณะต่างๆ กันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ
ผ้าไหมที่สวยงามและมีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูงเป็นที่รู้จักกันดีนั้น
ส่วนมากมาจากไหมหม่อน (mulberry
silkworm, Bombyx mori) ซึ่งกินใบหม่อนเป็นอาหารและมีประวัติการเลี้ยงมายาวนานจนกลายเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้เองตามธรรมชาติ
นอกจากไหมหม่อนแล้วยังมีไหมป่าที่ให้เส้นใยใช้ทำเครื่องนุ่งห่มได้อีกถึง
8 ชนิด ได้แก่ Antheraea
pernyi, A. yamamai, A. proylei, A. assamensis, A. mylitta, A. paphia,
Philosamia ricini และ
P. cynthia แต่มีเพียง 3
ชนิดคือ ไหมทาซาร์ (tasar silkworm, Antheraea mylitta และ A. proylei) ไหมมูก้า (muga silkworm, Antheraea assama) และไหมอีรี่ (eri
silkworm, Philosamia ricini) ที่มีการเลี้ยงเป็นอาชีพในประเทศต่างๆ เช่น
จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลี ไหมอีรี่เป็นไหมป่าเพียงชนิดเดียวที่มนุษย์สามารถนำมาเลี้ยงได้อย่างสมบูรณ์ครบวงจรชีวิต
ส่วนไหมมูก้าและไหมทาซาร์นั้น ในช่วงผสมพันธุ์ต้องเอามาปล่อยไว้ในธรรมชาติบนต้นพืชอาหาร
มิฉะนั้นผีเสื้อจะไม่ยอมผสมพันธุ์
ประเทศอินเดียและจีนมีการเลี้ยงไหมอีรี่กันมาก เพื่อใช้ทอเป็นผืนผ้าใช้ในครอบครัว
ในชุมชนหรือส่งเข้าอุตสาหกรรมไหมปั่นภายในประเทศ
ไหมอีรี่
(Eri
silkworm, Philosamia ricini) คำว่า eri เป็นภาษาสันสกฤตมาจากคำว่า eranda แปลว่า ต้นละหุ่ง
ซึ่งเป็นพืชอาหารหลักในการใช้เลี้ยงหนอนไหมอีรี่ ไหมอีรี่จัดเป็นแมลงเศรษฐกิจที่นิยมเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ
อาทิ ประเทศอินเดีย จีน และญี่ปุ่น เนื่องจากเส้นใยไหมอีรี่เหนี่ยวนุ่มเป็นเงามัน
ซักรีดง่ายคงทน และมีความสวยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูดซับเหงื่อและระบายอากาศได้ดี
เมื่อสวมใส่แล้วให้ความอบอุ่น ไม่มีกลิ่นเหมือนผ้าที่ทอจากใยสังเคราะห์
ดังนั้นผลผลิตจากไหมอีรี่จึ่งมีราคาสูง และยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมาก
ไหมอีรี่นี้เริ่มมีการนำมาเลี้ยงที่รัฐอัสสัม
ประเทศอินเดียในศตวรรษที่ 17 เดิมเรียกว่า Assam silk แต่ชาวอังกฤษเรียกว่า PALMA
CHRISTI silk ส่วนในประเทศไทยเริ่มมีการเพาะเลี้ยงไหมอีรี่สำเร็จเป็นครั้งแรกโดย
Wongtong et al. (1980) ที่ดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ และทิพย์วดีและคณะ
ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ปี พ.ศ. 2535 รายงานว่า ไหมอีรี่เมื่อเลี้ยงด้วยใบมันสำปะหลังสามารถเจริญเติบโตได้ดีทัดเทียมกับที่เลี้ยงด้วยใบละหุ่งซึ่งเป็นพืชอาหารหลัก
และใบมันสำปะหลังถ้าถูกเด็ดไปเลี้ยงไหมอีรี่ไม่เกิน 50%
จะไม่มีผลกระทบต่อผลผลิต และถ้าถูกเด็ดไปเพียง 30%
กลับทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังสูงขึ้น
ด้วยเกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยส่วนใหญ่ปลูกมันสำปะหลังเป็นอาชีพหลัก
จึงได้นำไหมอีรี่มาทำการเพาะเลี้ยงด้วยใบมันสำปะหลังในท้องที่จังหวัดขอนแก่นและนครราชสีมา
ตั้งแต่ปี 2533
จนถึงปัจจุบันพบว่า
ไหมอีรี่สามารถเจริญเติบโตได้ดีเมื่อเลี้ยงด้วยมันสำปะหลังเป็นพืชอาหาร โดยทั่วไปชาวชนบททางภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเลี้ยงไหมเป็นอาชีพเสริม
โดยเฉพาะที่จังหวัดขอนแก่นจะปลูกหม่อนเลี้ยงไหมกันแทบทุกหมู่บ้าน
จึงมีความชำนาญการเลี้ยงโดยไม่ต้องมาทำการเรียนรู้ใหม่ สามารถนำไหมอีรี่ไปเลี้ยง
และใช้อุปกรณ์ต่างๆ ของไหมบ้านได้เลยโดยไม่ต้องลงทุนเรื่องอุปกรณ์ใดๆ เพิ่มเติม
จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการประกอบเป็นอาชีพเสริมที่ดี
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)